สแตเบิลคอยน์ไม่สามารถช่วยดอลลาร์ได้ — เว้นแต่วิกฤต

เมื่อดอลลาร์摇摆 คนทุกคนมองหาเกราะป้องกัน สแตเบิลคอยน์ปรากฏขึ้นเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลผูกกับเงินตราชาติ ฟังดูปลอดภัยไร้ความผันผวน แต่ภายใต้หน้าตาสงบคือจุดอ่อนสำคัญ: พวกมันไม่มีสำรองจริง

ในฐานะผู้วิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนรายสัปดาห์ให้สถาบันการเงิน ผมเห็นว่าความไว้วางใจหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อมีความไม่มั่นใจ

สแตเบิลคอยน์อาจดูเหมือนทองคำดิจิทัลอย่างไรก็ตาม มันสร้างบนทราย มีการควบคุมโดยเอกชน เอกสารบัญชีตรวจสอบไม่ได้ และสภาพคล่องอาจหายไปภายในชั่วข้ามคืน

ภาพหลอกแห่งการควบคุม

ประเด็นแรก? การปล่อยเหรียญไม่มีการจำกัด หากเทียบกับทองคำหรือเงินของธนาคารกลาง สแตเบิลคอยน์ปล่อยโดยบริษัทเอกชนตามดุลบัญชีของตนเอง

เคยจำลองสถานการณ์ถอนเงิน USDC เพิ่มขึ้น 20% ในสามแพลตฟอร์มใหญ่ โดยใช้ Python: ผลปรากฏว่าทุกแพลตฟอร์มเจอคำขอเพิ่มเงินประกันภายใน 48 ชม.

คิดใหม่อีกครั้ง: หากสำรองถูกเก็บโดยบริษัทไร้กฎระเบียบที่เราตรวจสอบบัญชีไม่ได้ เราจะไว้วางใจได้อย่างไร?

ไม่ใช่น้ำหนักจริง — มันแค่อุปกรณ์เลียนแบบความปลอดภัย

สแตเบิลคอยน์ยังไม่ใช่มูลค่าสำรองโลก

ตรงจุดปรัชญาแม้มองจากผมซึ่งชอบตารางและเลขมากกว่าคำสอน

gold เหลือรอดมาหลายอาณาจักรเพราะ เป็นสากลอย่างแท้จริง มันไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อนจะถูกยอมรับ

สแตเบิลคอยน์? พึ่งพาการยอมรับจากประเทศ G20 ก็ยังไม่มีเลย — ในโปรแกรมให้กู้ยืม IMF ก็ยังถูกปฏิเสธให้อยู่ในระดับ ‘หลักประกัน’

เหมือนเอาสมาร์ทโฟนมายื่นมอบให้วillageโบราณแล้วหวังแลกกับธัญพืชเพราะแบตเตอรี่หมด

แน่นอน การโอนเงินข้ามแดนเร็วกว่าผ่าน USDT/USDC — แต่ว่องไว ≠ เชื่อถือได้ และจนกว่าภาครегูเลเตอร์จะมองเครื่องมือนี้เหมือนโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินอย่าง Treasury เราแค่งานสร้างปราสาทน้ำแข็งบนพื้นราบ

เวลานำไปแก้มวลเจ็บไหม? (ไม่นาน)

certain คนบอก ‘รอเวลา’ เป็นไปได้ว่าวันหนึ่งสแตเบิลมายืนหยัดแทนสำรองโลกได้อาจเกิดขึ้นครับ, ноเรามาเผชญ事实: เรากำหนดรอมหลายปี

time frame อีกแค่นี้? เช้าตรู่ของแผนภูมิตัวเลข – dolar จะยังคงเหนือกว่ายังไง เพราะ แม้มันจะเต็มไปด้วยเสียงตะโกนจาก crypto traders และแนวโน้มเหล่านี้เองทำให้มันแปรปรวนมากเมื่อตลาดกลัวเสียว

dollar จะกลายเป็น ‘ทางออก’ เมื่อคนโยกเข้าหาทรัสตี้, not digital approximations of it.

to be clear: สแตเบิลมายืนหยัดในบางงานเฉพาะ เช่น yield ใน DeFi, remittance เร็ว. but call it ‘lifeline for the dollar’? That’s wishful thinking wrapped in tech jargon. The world needs real policy coordination, not algorithmic promises from companies that don’t answer to voters or central banks.