Ledger หยุดสนับสนุน Nano S

สิ้นสุดยุคทอง

ในปี 2025 Ledger เผยข่าวระเบิด: Nano S อุปกรณ์ flagship จากปี 2016 จะไม่มีการอัปเดตแอปหรือฟีเจอร์เพิ่มเติมอีกต่อไป โดยสิ้นสุดปลายปี มันไม่ใช่การตายอย่างฉับพลัน แต่เป็นการลากยาวจากข้อจำกัดหน่วยความจำเพียงแค่ 320KB เท่านั้น แต่สำหรับผู้ใช้นานาชาติหลายล้านคน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งมากกว่าจะเป็นการพัฒนา

ผมจำได้ว่าตอน Nano S เปิดตัวครั้งแรก—ราคา \(79, เคสมetalเรียบหรู, และสร้างความเชื่อมั่นในระบบเก็บเงินแบบเย็น (cold storage) ในทันที โดยในปีเดียวอย่างเดียว Ledger กวาดรายได้มากกว่า \)118M จากโมเดลเดียว มันคือจุดเปลี่ยนมุมมอง—เหมือน iPhone 4 ในโลกคริปโต

แต่วันนี้ Ledger พูดกับผู้ใช้ว่า ‘อัปเกรดเลย’ — หากไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นฮาร์ดแวร์ล้าสมัยโดยไม่มีทางกลับมาได้

เหตุผลที่เจ็บปวดกว่าแค่อุปกรณ์

ตรงจุดสำคัญเริ่มจากตรงนี้: Nano S ยังคงทำงานกับ BTC และ ETH โดยสมบูรณ์—you ส่ง-รับได้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าจะใช้งานแอพใหม่อย่าง DeFi, NFTs, และบริการใหม่อื่นๆ ไม่ได้อีก เพราะพื้นที่หมดแล้ว

และใช่มันจริงที่ข้อจำกัดหน่วยความจำมีอยู่—but timing มันเลวร้ายเกินไป Ledger พยายามขาย Nano S มาจนถึงปี 2022 (และแม้กระทั่งขายโดยผู้จำหน่ายภายนอก) จากนั้นคราวหนึ่งประกาศเลิกสนับสนุนมานานถึงกลางช่วงกลางช่วงเวลา? มันไม่น่าจะเป็นกลยุทธ์—มันคือการทรยศลูกค้าภายใต้อำนาจของคำว่า ‘เทคนิค’

Charles Guillemet อ้างว่าพวกเขากำลัง ‘พัฒนาไปพร้อมกับโลก’ — เข้าใจได้อยู่นะ—but evolution shouldn’t come at the cost of trust.

สังคมกำลังแตกแยกอย่างไร?

ปฏิกิตของคนในวงการ?คาดเดาได้ง่ายแต่น้ำตาไหล

• @sudo เรียกว่า ‘ไร้มorality’ — การบังคับให้อัปเกรดขณะปล่อยให้อะไรเก่านอนตาย
• @CryptoCharged พูดว่าเขาซื่อสัตย์กับแบรนด์มาเจ็ดปี…ตอนนี้รู้สึกโดนทรยศ
• @BAYC_5511ประกาศสงคราม: “ไม่มีผลิตภัณฑ์ Ledger อีกแล้ว”

มันไม่ใช่แค่อารมณ์โกรธ—it เป็นความเสียใจจริงๆ คนจำนวนมากมองนาโนเอสเป็นเพียงกระเป๋าเงิน…แต่มันกลับเก็บเงินสะสมหลายหมื่นครอบคลุมประวัติศาสตร์คริปโตของพวกเขา—even comfort เมื่อตลาดตกแรง

เรื่องแบบเนี้ยะมาก่อนแล้ว—มันกลายเป็นงานอารมณ์ที่ถูกโยนมายัง ‘กระเป๋าเงิน’

การแข่งขันที่กำลังมาแรง

customer loyalty จะหายไปหากทำแบบเนี้ยะ เช่นเดียวกับสายฟ้าฟาดจากฝ่ายตรงข้าม zach herbert จาก FOUNDATION (ผู้สร้าง Passport Prime) เสนอหลักฐานสำคัญ: 1️⃣ การขายฮาร์ดแวร์รุ่นอน(old) ในขณะที่เลิกสนับสนุนครึ่งทาง? Apple ก็ทำได้นานกว่านี้บน iPhone certainly on older devices. 2️⃣ การแพชชัวร้อง(security patches)ควรอยู่นานกว่านี้สามสามไตรมาสในสภาพแวดล้อมแบบ crypto storage 3️⃣ App เปิดแหล่งโค๊ด(Open-source app) มีอยู่จริง—but Ledger blocks community contributions เพราะระบบที่เปิดเฉพาะภายใน (closed ecosystem)—red flag! 4️⃣ มียอดผู้ใช้งาน Nano S กว่า ~4.3M คน—and most likely upgrade—theyอาจสร้างรายได้นอกเหนือ $500M หากทำตามแผน—แทนที่จะไล่องườiออกไปเพราะคำพูดเตือนภัย(Scare-mongering)

ผมขอชัดเจนครับ—I respect technical excellence of Ledger They built something rare—an ecosystem where people actually trust their keys are safe. The problem is trust erodes when companies treat users like cash cows instead of partners in decentralization.

ส่วนอนาคตจะเป็นเช่นไร?

The real threat isn’t competition—it’s perception. Users won’t buy another hard wallet unless they believe it will be supported for ten years minimum—not five or six with vague promises about “future compatibility” under fine print that only lawyers understand. The irony? Crypto was born from distrust of institutions—and now we’re betting our digital wealth on a single company that decides when our devices go dark. The DAO might fail—but Ledger shouldn’t be allowed to do so without accountability. The question isn’t whether they can phase out old models—it’s whether they should, given their role as gatekeepers of sovereignty. Enterprising devs may fork legacy apps—but can we really expect every holder of an ancient Nano S to become a programmer? The answer is no—and that makes this move riskier than any tech debt ledger ever carried. The hard wallet battle isn’t won by specs alone; it’s won by reputation. And right now? Ledger’s crown looks cracked.