ฮ่องกงกับกฎใหม่ DeFi

กฎหมายเริ่มเข้ามาใกล้ชิด

ผมใช้เวลาห้าปีศึกษาพฤติกรรมบนบล็อกเชนในโปรโตคอล DeFi จาก Uniswap ถึง Aave และตอนนี้กำลังเผชิญกับกรอบการกำกับดูแลที่รู้สึกเหมือนโดนกระแทกหน้าอก ฉบับร่างกฎหมายของฮ่องกงเสนอโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี หากดำเนินธุรกิจซื้อขายหรือเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่มีใบอนุญาต ใช่แล้ว คุณอ่านถูกต้อง: มีโทษจำคุกสำหรับการเปิดสำนักงาน OTC เล็กๆ หรือบริหารทรัพย์สินให้ลูกค้าบนแพลตฟอร์มที่ไม่ได้ลงทะเบียน นี่ไม่ใช่เพื่อปกป้องผู้ลงทุน—แต่เป็นการประกาศอำนาจเหนือมูลค่าดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองจากสายตาของคนเคยเขียนระบบ arbitrage อัตราเร็วบน NASDAQ ผมเห็นว่านี่ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการปฏิเสธหลักการกระจายอำนาจ

เป้าหมายของการควบคุมคืออะไร?

ฉบับร่างขยายขอบเขตการกำกับดูแลเกินกว่าตลาดใหญ่อย่าง Exchange โดยกำหนดให้ขอใบอนุญาตก่อน:

• การซื้อขายคราฟต์คริกโทเคอร์เรนซีขนาดเล็ก

• การถอนเงินสดและแลกเปลี่ยนเงิน fiat

• กิจกรรมโบร커เกอร์

• ธุรกรรม OTC มูลค่าสูง และสำคัญที่สุด: ไม่มีช่วงเวลาปรับตัวใดๆ หากดำเนินงานอยู่แล้ว? ต้องหยุดทำงานทันที หมายความว่า เครือข่ายหรือองค์กรใดที่ให้บริการผู้ลงทุนรายย่อยหรือสถาบันในฮ่องกงโดยไม่มีใบอนุญาตก็กลายเป็นภัยทางกฎหมาย—พร้อมปรับได้ถึง HK$5 ล้านและจำคุก มันไม่เพียงแค่วัดผลเท่านั้น มันเจ็บปวดอย่างร้ายแรง

  เหตุใดจึงสำคัญนอกฮ่องกงจริงๆ?

  ผมบอกตรงๆ: สังคมจะเห็นว่า เป็นเพียงนโยบายเดียวเท่านั้นหรือ? มันเป็นส่วนหนึ่งของสงครามใหญ่ระหว่างอำนาจสถาบันและความเป็นอิสรภาพแบบกระจาย — เหตุผลหลักในหลายปีของการเฝ้าระวังของผม ในสมัยทำงานที่ Citadel Securities เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับประเทศเรียกร้องให้มองธุรกิจคริกโทเหมือนยาเสพติด (พร้อมบทลงโทษจำคุกยาวนาน) ก็แปลว่า: รหัสเฉพาะของคุณจะไม่อีกก็เลยเป็นของตนเอง กฎหมายเช่นนี้จะไม่มากำจัดผู้เลวร้าย—แต่มันผลักดันเทคโนโลยีไปใต้ดิน การลงทุนมูลค่าจะไหลออกนอกประเทศ เช่น สิงคโปร์ (แม้มียอดตรวจสอบ), دبي (ยังคงเปิดกว้าง), หรือแม้แต่อิตาเลีย — พื้นที่เหล่านี้ยอมให้อำนาจโค๊ดมากกว่าข้าราชการ เราเห็นโลกสองโลกกำเนิดขึ้นครั้งแรก:

1. การเงินแบบรวมศูนย์ภายใต้อำนาจรัฐ (คล้ายธนาคารแบบเดิมแต่มีโครงสร้างบล็อกเชน)

2. การเงินแบบกระจายแท้มายากล โดยอาศัย Smart Contract เพียงอย่างเดียว — ในโลกแห่ง ‘โค๊ดเท่าคำพยากรณ์’ แนวทางของฮ่องกงผลักดันคริกโทไปทาง #2… หากมันสามารถอยู่ได้อยู่ในประเทศ code is law.

   MEV กับความเข้มแข็งทางกฎหมาย: การชนกระทบกระเทือน?

   ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ MEV เพราะมันสะกดรอยเตือนความเสียหายภายในระบบ Ethereum ตอนนี้ลอง想象หากพยายามสร้าง pool Liquidity พื้ฐานโดยปราศจากการเผชি�ญภัยทางกฎหมายใหม่นี้ กลไกดาวเคราะห์ใด ๆ—even one เพื่อลด slippage—อาจถูกแจ้งเตือนว่า “ทำหน้าที่โบรเกอร์โดยไม่อนุมัติตามกฎหมาย” พลาดแค่นิดเดียว? จะเจอความเสี่ยงทางกฎหมายโดยตรง The irony? เมื่อกฎหมายเพื่อปกป้องผู้ใช้งานกลายเป็นเครื่องมือกดข่ม—โดยเฉพาะเมื่อคำตัดสิน enforcement พึ่งพาเจ้าหน้าที่ระดับชาติตะวันตกซึ่งอาจขาดความเข้าใจในโครงสร้าง blockchain และการออกแบบแรงจูงใจ The result? คนสร้างงานลดลง; การนำผลงานไปทำนอกประเทศเพิ่มขึ้นครอบคลุม; และลดความโปร่งใสแม้ว่าเราจะพยายามลดอาชญากรรมและการฉ้อโกStatistical frauds together. The best defense against bad actors isn’t criminal penalties—it’s open-source verification, transparent front-running detection tools, and community-driven governance models that don’t rely on government approval.